อาจาร์ยสุทธิวัสส์ คำภา ท่านเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องการใช้ลูกดิ่งสำหรับประเมินสาวะสุขภาพ ผสมผสานกับความรู้เรื่องธรรมชาติบำบัดท่านได้นำความรู้ออกช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ที่กำลังมีความเสื่อมของร่างกาย โดยไม่เลือกชั้นเลือกฐานะ อาจารย์เป็นผู้มีจิตเมตตาสูง ปรารถนาที่เผยแพร่ความรู้แก่ผู้ที่สนใจให้เป็นผู้ช่วยที่ดีใกล้ตัว เพื่อจะนำไปใช้ดูแลตนเอง และคนรอบข้าง พร้อมทั้งช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อมีโอกาส ท่านคิดว่าถ้าคนไทยรู้จักเลือกอาหารที่มีประโยชน์กิน สุขภาพก็จะแข็งแรง ปลอดภัยจากการเจ็บป่วยงบประมาณที่รัฐต้องจ่ายไปเพื่อสั่งซื้อยาจากต่างประเทศก็ย่อมลดลงด้วย
อาจารย์สทธิวัสส์ คำภา เป็นนักธรรมชาติบำบัดที่มีพื้นฐานจากครอบครัวแพทย์แผนไทย ประกอบกับมีประสบการณ์ในการสืบค้นภูมิปัญญา ไทยตามแนวธรรมชาติ
บำบัดยาวนานกว่า 30 ปีทั่วประเทศ ได้ค้นคว้าการแพทย์ในพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนา ท่านได้ศึกษาpendulum จากแพทย์ประจำตัวประธานาธิบดีเวเนซูเอล่า และได้พัฒนาประสานกับภูมิรู้ ภูมิธรรมที่กว้างขวางและลึกซึ้งของท่าน นำ pendulum มาประเมินภาวะสภาพโดยวิธีธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงนับเป็นการแก้ปัญหาระบบของการประเมินสภาวะสุขภาพโดยวิธีธรรมชาติ ของการแพทย์แบบองค์รวม
อาจารย์สุทธิวัสส์ ได้เผยแพร่ความรู้เรื่องสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บเกิดจากมูลเหตุตามพระไตรปิฎกคือ
1. กรรม 2. จิต 3. พลัง
4. ร่างกายและอาหารซึ่ง pendulum สามารช่วยประเมินภาวะทั้ง 4 มิติได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน อาศัยความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มากมายของอาจารย์ ทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้อย่างดีรอบด้านและมีประสิทธิผล
ที่สำคัญที่สุดคือ จิตใจที่ดีงามสูงส่งของอาจารย์สุทธิวัสส์ที่ท่านเป็นคนผู้ไม่หวงวิชา ท่านได้เผยแพร่ความรู้ต่างๆ มากมายแก่ผู้สนใจ ลูกศิษย์ ฯลฯ ทั้งเรื่อง pendulumพลังจิต การจัดกระดูกคอและกระดูกหลัง อาหารบำบัด การอาบน้ำรักษาโรค การพอกตัว (Body detox) ฯลฯ คนไทยสามารถพึ่งตนเองได้ในการประเมินภาวะสุขภาพของตนเองสามารถบำบัดรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
สมบูรณ์ อายุยืนยาว ยังประโยชน์ให้กับตนเอง ครองครัวสังคมไทยและสังคมโลกต่อไป
ช่วงเวลา ระบบที่เกี่ยวข้อง ข้อควรปฏิบัติ
01.00-03.00 ตับ นอนหลับพักผ่อนให้หลับสนิท
03.00-05.00 ปอด ตื่นนอน สูดอาการบริสุทธิ์
05.00-07.00 ลำไส้ใหญ่ ขับถ่ายอุจจาระ
07.00-09.00 กระเพาะอาหาร กินอาหารเช้า
09.00-11.00 ม้าม พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ
11.00-13.00 หัวใจ หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง
13.00-15.00 ลำไส้เล็ก งดอาหารทุกประเภท
15.00-17.00 กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เหงื่อออก(ออกกำลังกายหรืออบตัว)
17.00-19.00 ไต ทำให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
19.00-21.00 เยื่อหุ้มหัวใจ ทำสมาธิ หรือสวดมนต์
21.00-23.00 ระบบความร้อนของร่างกาย ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำร่างกายให้อบอุ่น
23.00-01.00 ถุงน้ำดี ดื่มน้ำก่อนเข้านอน
การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่องเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันอวัยวะกลวง
อวัยวะตัน หมายถึงหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย
การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24ชั่วโมง คือหนึ่งวัน เรียกว่า “ นาฬิกาชีวิต”
ตัวอย่าง เช่นการไหลเวียนของเส้นลมปราณปอด จะมีพลังไหลเวียนเริ่มต้นที่เวลา 03.00 น. และสูงสุดในช่วงประมาณ04.00 จากนั้นค่อยๆลดลง และออกจากเส้นลมปราณปอดไปยังเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ เวลา 05.00 น. การรักษาโรคเส้นลมปราณปอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจึงควรอยู่ระหว่างเวลา0.00-05.00 น. ได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผลของการใช้ยาตะวันตกคือ ยาดิติตาลิสในการรักษาโรคหัวใจล้มเหลว (มีการคั่งของน้ำในปอดการให้ยาในช่วงเวลา 04.00 น.จะให้ผลออกฤทธิ์ประมาณสี่สิบเท่าของการให้เวลาอื่น การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของอวัยวะภายในมีกฎเกณฑ์ ที่แน่นอนและสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเวลา (นาฬิกาชีวิต) ร่างกายเราจึงมีกลไกการปรับตัวมีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทำงานของระบบต่างๆ ฯลฯเป็นไปตามสภาวะธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป
การดำเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืนปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้
01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสาร ราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายหลั่งสารราโทนินเป็นประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน(endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลังของตับคือขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อยๆ จะทำให้ตับทำงานหนักตับ จะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00-05.00 น. ปอด เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น และ จะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว
05.00-07.00 น. ลำไส้ใหญ่ เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้าจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้
น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 4-5ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้า แล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง
07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้าขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
09.00-11.00 น. ม้าม เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมันจึงทำให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น.ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อยๆ หรือพูดเก่งๆ ม้ามจะชื้น จึงควรพูดน้อยกินน้อย ม้ามจึงแข็งแรง
11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจากหัวตา > ผ่านหน้าผาก > ศีรษะ > ท้ายทอย > แผ่นหลังทั้งแผ่น > สะโพก > ด้านหลังขา > หัวเข่า > น่อง > ส้นเท้า > นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะ จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์และระบบเพศทั้งหมด
ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก อาจออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวังถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวัง
เรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา ยะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย
การอั้นปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะจะ ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่นไม่ง่วงเหมาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาหารง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาหารหนักมาก
- ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรี รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
- ไตขวาจะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนทีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วย เช่นขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูและเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำ เทา เอาเท้าแช่ในน้ำอุ่น
21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงนี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี (ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ) อวัยวะใดในร่างการเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้าง
เดียวหรือสองข้าง โดยไม่ทราบสาเหตุ (ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่า ถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)
ทางแก้คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้าย ดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูงๆ เพราะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23 น.
กินอย่างไรจึงจะสุขภาพดี คนมีสุขภาพดีตามหลักอภิธรรม
ความบกพร่องทางรูปกาย มีสาเหตุ 4 ประการคือ
1. เกิดจากกรรม บางคนแก้กรรมก็หายป่วยได้
2. เกิดจากจิต เป็นวิธีคิดของคนบางคนทำให้ตัวเองป่วยได้ เช่นความโกรธ คนที่โกรธบ่อยๆ จะทำให้ตับเสื่อมแลเป็นสาเหตุของมะเร็งด้วย ทำไมจึงโกรธ เพราะสารอาดรีนาลีนเยอะ ทำไมจึงมีสารนี้มาก เพราะกินเนื้อสัตว์ สัตว์รู้ตัวว่าจะถูกเขาฆ่า ร่างกายของมันจะหลั่งสารอาดรีนาลีน ออกมาเพื่อกล่อมประสาท ซึ่งสารพิษนี้ยังคงตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ที่เขาชำแหละแม้จะนำไปต้มหรือทอด สารนี้ก็ยังตกค้างอยู่ ถ้าสารตัวนี้สะสมมากในร่างกายของคนเรา จะทำให้ฝันเหมือนวิ่งหนีเพราะถูกไล่ฆ่า
วิธีคิดของคนสามารถทำให้ป่วยได้ หรือการแสดงอาการต่างๆ โกรธ น้อยใจ ไม่ได้ดั่งใจ งอน จะป่วยด้วยโรคทรวงอก ให้สังเกตคนที่ป่วยเป็นมะเร็งทรวงอก มักจะเป็นคนขี้น้อยใจ ขี้กังวล
3. เกิดจากเหตุ อุตุ ในพระไตรปิฎกแปลว่า พลังงาน พลังงาน การไหลเวียนในร่างกายไม่ดีอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เกี่ยวกับการเกิดอุตุแบ่งเป็น 2 แบบ
- อัฌฌัตอุตุ (พลังงานที่ไหลเวียนในร่างกาย)
- พหิทธอุตุ พลังงานที่มาจากภายนอก แล้วซึมซับเข้ามาในร่างกายเราได้ พลังงานที่ไหลเวียนในร่างกายอยู่ที่ไหน ในร่างกายมีเซลล์ประสาทเชื่อมโยงจากสมอง ในสมองคนที่อนุภาคแม่เหล็ก 7000 ชิ้น จากสมองมีสายคล้ายสายไฟโยงใยไปทั่วร่างกาย เรียกว่าเซลล์ประสาท ข้างในเซลล์มีโพรงตรงกลาง มีประจุไฟฟ้าบวก รอบนอกมีประจุไฟฟ้าลบ ประจุไฟฟ้าลบมีหน้าที่ไล่จับอนุมูลอิสระ ต่อต้านเชื้อโรค ถ้า
มีประจุไฟฟ้าเยอะก็ไม่ค่อยป่วย ชื่อเรียกประจุไฟฟ้าลบ มีความแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม เช่นในญี่ปุ่นเรียกว่า ชิ จีนเรียกว่าซี ซีกง ในอินเดียเรียกว่าปราณ นที หรือ กุณฑลินี ฝรั่งเรียกว่า Vitality force or Universal force ถ้าเราวัดค่าสนามแม่เหล็กในคนปกติ พลังงานเฉลี่ยปรกติ 0.7 เกาท์ ในคนที่กินเนื้อสัตว์จะมีน้อยกว่า และจะเจ็บป่วยบ่อยเพราะค่าอุตุหรือพลังงานปั่นป่วน คนกินมังสวิรัติมักจะสูงกว่า 0.7 ยกเว้นบางกลุ่ม
- สี กลิ่น เสียง รส การเคลื่อนไหวออกกำลังกาย เป็นการกระตุ้นอุตุ
4. เกิดจากการอาหาร ในศาสนาพุทธแบ่งอาหารเป็น 4 กลุ่ม
ก. กวฬิงกลาหาร ได้จากการกินพวกพืชผักสมุนไพร เน้นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ข. ผัสสาหาร จากการสัมผัส เสียดสี ของสวยงามต่างๆ เช่น อัญมณี หินสีสวยงาม
ค. มโนสัญเจตนาหาร จากการใช้สมาธิ
ง. วิญญาณาหาร อาหารที่ได้จากจิตวิญญาณ จากความรัก ความผูกพัน จากความสัมพันธ์ระหว่างครูอาจารย์กับศิษย์ หรือคนที่มีเป้าหมาย มีความคิดเหมือนกัน จะสามารถประคองชีวิตให้อยู่ได้
เวลาตกฟากของคนไม่เหมือนกัน จะเป็นตัวแสดงธาตุเจ้าเรือน หมอสมัยโบราณจึงต้องใช้วิธีคำณวนวันเดือนปีเกิดของเด็ก เพื่อจะได้รู้ว่าระบบไหนภายในร่างกายอ่อนแอ เมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ ธาตุเจ้าเรือนจะเปลี่ยนไปตามวิธีคิดและสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถกินอาหารตามธาตุเหมือนตอนเป็นเด็กได้ต้องกินตามธาตุปัจจุบัน
อวัยวะภายในร่างกายมี 12 ระบบ แต่ละระบบจะทำงานหนักเวลา 2 ชั่วโมง ในแต่ละวัน
ช่วงตีสามถึงตีห้า ปอดจะทำงานหนัก คนที่มี ปัญหาเรื่องปอดจะไม่ตื่นเวลานี้ คนตื่นตีสาม ตีห้า แปลว่าปอดแข็งแรง มีโอกาสเป็นผู้นำคนเพราะลมมาจากปอด พูดมีพลังอำนาจ คนตื่นสาย ปอดจะไม่แข็งแรง
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก ......
คุณชนิภา รักษ์กุศล
วุฒิการศึกษา
>> ปริญญาตรีใบที่ 1 พยาบาลศาสตร์
>> ปริญญาตรีใบที่ 2 สาธารณสุขศาสตร์ (บริหารสาธารณสุข)
>> ปริญญาโท จิตวิทยาการให้คำปรึกษา (เกียรตินิยมอันดับ 1)
ตำแหน่งงานราชการปัจจุบัน (สิงหาคม 2557)
>> นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา
หน้าที่เข้าชม | 42,207 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 33,770 ครั้ง |
เปิดร้าน | 7 ส.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 23 ก.ย. 2568 |